Shopping Cart

No products in the cart.

นักวิชาการคนไทยทิ้งงานวิจัยกี่ %

แบ่งปันเพื่อนๆ หรือ แชร์เก็บไว้ดูเอง

เคยรู้สึกไหมว่าเวลาที่ทำงานวิจัยมันเหมือนจะไม่พอ? คุณเคยรู้สึกท้อแท้กับการมีเวลาน้อย แต่ต้องทำงานให้เสร็จตามกำหนดหรือไม่?

งานวิจัยที่ต้องใช้ความตั้งใจและเวลานานจึงเสร็จสมบูรณ์ แต่ในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งรบกวนและความเครียด การทำงานให้เสร็จตามกำหนดดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ท้าทายเกินไป บางครั้งเราไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน หรือจะจัดลำดับความสำคัญอย่างไรเพื่อให้งานสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ… ซึ่งการเรียนรู้หลักการจาก Smarter Faster Better โดย Charles Duhigg อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา

ในปัจจุบันการทำงานวิจัยไม่ใช่แค่เรื่องของการรวบรวมข้อมูลหรือการวิเคราะห์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการจัดการเวลาที่มีอยู่ให้ดีที่สุด โดยเฉพาะในประเทศที่มีความท้าทายเรื่องการทำงานวิจัย เช่น ในประเทศไทย มีสถิติที่น่าสนใจจากการวิจัยในระดับสถาบันการศึกษา พบว่า 60% ของนักวิจัยทิ้งงานกลางทาง หรือไม่สามารถทำงานให้เสร็จตามกำหนดเวลาได้

สาเหตุหลักมาจากความไม่สามารถในการจัดการเวลา ความเครียดจากภาระงานจำนวนมาก และการขาดทักษะในการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน หลายคนอาจรู้สึกท่วมท้นกับจำนวนข้อมูลที่ต้องวิเคราะห์ หรือการทำงานที่ไม่มีระบบ ทำให้พวกเขาสูญเสียความสามารถในการรักษาความมุ่งมั่นและความสามารถในการทำงาน

Charles Duhigg ได้กล่าวไว้ใน Smarter Faster Better ว่า “การเลือกสิ่งที่เราจะทำ เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราได้ผลลัพธ์ที่ดีในทุกงาน ไม่ว่าจะเป็นการทำวิจัย การทำธุรกิจ หรือแม้แต่ชีวิตส่วนตัว” ข้อคิดนี้ทำให้เราสามารถปรับมุมมองในวิธีการทำงานของเราได้ การเลือกและกำหนดเป้าหมายที่สำคัญที่สุดไม่เพียงแค่จะทำให้เรามีประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังช่วยให้เราจัดการกับภาระงานที่หนักหน่วงได้อย่างมีระเบียบ สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การทำงานทั้งหมดที่มี แต่คือการทำงานที่ดีที่สุดและคุ้มค่าที่สุด

หลักการ 5 ข้อ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

Smarter Faster Better โดย Charles Duhigg ได้สรุปหลักการที่สามารถนำมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในการทำวิจัย

1. การตัดสินใจ : การเลือกสิ่งที่สำคัญที่สุดเป็นกุญแจสำคัญในการทำงานให้มีประสิทธิภาพ การตัดสินใจว่าควรทำอะไรในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ และจะทำให้เรามีแรงผลักดันในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

2. การตั้งเป้าหมาย : ควรตั้งเป้าหมายใหญ่ให้ชัดเจน แทนที่จะมุ่งเน้นที่การทำงานเล็กๆ ที่ไม่สำคัญ การมีเป้าหมายที่ชัดเจนทำให้เรามีแนวทางที่ถูกต้องในการดำเนินการ และช่วยให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าอะไรควรทำก่อนหลัง

3. การใช้เวลามีสมาธิ : Duhigg ให้ความสำคัญกับการจัดสรรเวลาให้มีสมาธิ โดยเฉพาะการมีช่วงเวลาที่ไม่มีสิ่งรบกวน ซึ่งจะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในการทำวิจัยที่ต้องใช้ความคิดลึกซึ้ง

4. การใช้ข้อมูลและฟีดแบ็ก : การใช้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องและฟีดแบ็กจากการทำงานเป็นวิธีที่สำคัญในการปรับปรุงผลลัพธ์ และช่วยให้เราทราบได้ว่าเรากำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ การทำวิจัยต้องมีการวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ละเอียดและปรับปรุงวิธีการเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง

5. การสร้างนิสัยที่ดี : การสร้างนิสัยที่ดีสามารถช่วยให้เราทำงานได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การทำงานที่เป็นระบบและเป็นนิสัยจะช่วยลดความเครียด และทำให้เราสามารถจัดการกับภาระงานได้ดีขึ้น

Charles Duhigg เป็นนักข่าวที่ได้รับรางวัล Pulitzer และผู้เขียนที่มีชื่อเสียงจากการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์และการเพิ่มประสิทธิภาพในชีวิตประจำวันและการทำงาน โดยเขาได้สร้างผลงานที่มีผลกระทบในวงกว้าง เช่น The Power of Habit ซึ่งเป็นหนังสือที่แสดงให้เห็นถึงพลังของนิสัยที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนได้อย่างสำคัญ และ Smarter Faster Better ก็เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและการตัดสินใจที่ดี

สถิติของผู้ทิ้งงานวิจัยในประเทศไทย

งานวิจัยในประเทศไทยมักประสบปัญหาการไม่สามารถทำงานให้เสร็จตามกำหนด เนื่องจากการขาดการวางแผนและการจัดการที่ดี จากข้อมูลที่ได้รับการเผยแพร่จากสถาบันการศึกษาหลายแห่ง พบว่า 60% ของงานวิจัยที่เริ่มต้นไม่ได้เสร็จสมบูรณ์ตามเวลาที่กำหนด สาเหตุหลักๆ มาจากการจัดการเวลาที่ไม่ดี การขาดแรงจูงใจ และการขาดการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้หลายคนรู้สึกหมดกำลังใจและละทิ้งงานกลางทาง

งานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการใช้หลักการการตั้งเป้าหมายในงานวิจัย และพบว่า การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและการตัดสินใจอย่างมีระบบสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ถึง 30% และยังช่วยให้สามารถป้องกันการทิ้งงานกลางทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลักการจาก Smarter Faster Better สามารถช่วยให้คุณทำวิจัยได้ดีขึ้นและเสร็จภายในเวลาที่กำหนด โดยการ:

1. เลือกทำสิ่งที่สำคัญ : ก่อนที่จะเริ่มทำวิจัย ควรตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเลือกทำเฉพาะสิ่งที่สำคัญที่สุดในแต่ละขั้นตอน เพื่อลดความยุ่งยากและมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

2. ใช้เวลาให้มีสมาธิ : จัดสรรเวลาที่ไม่มีสิ่งรบกวนเพื่อทำงานวิจัย โดยเฉพาะในการทำงานที่ต้องใช้การคิดอย่างลึกซึ้ง

3. ใช้ข้อมูลและฟีดแบ็ก : เก็บข้อมูลทุกขั้นตอนและใช้ฟีดแบ็กในการปรับปรุงวิธีการทำงานเพื่อให้ผลลัพธ์ดีที่สุด

4. สร้างนิสัยที่ดี : ทำให้การทำงานวิจัยเป็นนิสัยที่มีระบบ สามารถจัดการกับงานได้ง่ายและรวดเร็ว

ถ้าคุณต้องการทำงานวิจัยให้เสร็จตามกำหนดและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคุณ ลองนำหลักการจาก Smarter Faster Better ไปใช้ในงานวิจัยของคุณดู และคุณจะพบว่าการทำงานที่มีระเบียบและการจัดลำดับความสำคัญอย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณทำงานได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

— 7D Academy —

กลัวไม่จบปริญญาโท ปริญญาเอก
เพราะติดปัญหางานวิจัย
ข่าวดี เรียนผ่านออนไลน์ได้ทันที

🔎 สร้างทักษะในการใช้ AI ทำงานวิจัย ช่วยสร้างบทนำ ทบทวนวรรณกรรม วิเคราะห์ข้อมูล และจัดทำรายงานทั้งหมดได้ในหลักสูตรเดียว

ทุกบทเรียนจะพาคุณผ่านขั้นตอนที่สำคัญในการใช้ AI เพื่อช่วยงานวิจัยของคุณ และจะเรียนรู้ว่า AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการวิจัยได้มากถึง 10 เท่า

🔎 นี่คือหลักสูตรออนไลน์ ที่อยู่ที่ไหนก็เรียนได้ ทวนซ้ำกี่รอบก็ได้

ทุกขั้นตอนคุณสามารถทำตามได้ เพราะอาจารย์ปุด ดร.สุขยืน เทพทอง ได้ออกแบบหลักสูตร “ปริญญาโท ปริญญาเอกจบแน่ แค่รู้วิธีใช้ AI เป็นผู้ช่วยงานวิจัย” สอนตั้งแต่เริ่มต้น จนคุณทำได้ด้วยตัวเองในทุกขั้นตอน

แบ่งปันเพื่อนๆ หรือ แชร์เก็บไว้ดูเอง

Leave a Reply